เงินดิจิทัล กับ สภาพเศรษฐกิจไทย เพิ่มรายได้ หรือ ก่อหนี้ ?

นโยบายการเงินของรัฐบาลนิดหนึ่งกับสภาพเศรษฐกิจไทย

ตลาดเงิน ตลาดทุนไทยปั่นป่วนสุด ๆ bond yield 10 ปี พุ่งทำ New high ขณะที่ค่าเงินอ่อนค่าต่อเนื่องและอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 10 เดือน ส่วนตลาดหุ้นไทยยังถูกเทขายหนักหน่วง 1 ปัจจัยที่สร้างความกดดันให้กับตลาด คือ ความวิตกกังวลจากรัฐบาลที่ใช้เงินจำนวนมาก จึงเป็นประเด็น ที่หลายคนตั้งคำถามว่า “การแจกเงินด้วยวงเงินมากถึง 560,000 ล้านบาท อาจเป็นความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยได้” จะเป็นเพียงแค่ความคิดเห็น หรือมีข้อเท็จจริงอย่างไร? “มีทอง – MeThong” จะมาเล่าให้ฟังครับ

ในโลกปัจจุบันกำลังพบกันอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งกระฉูดแบบที่เราไม่ได้พบเจอในรอบ 10 ปี ซึ่งคนที่พาให้เทรนด์การขึ้นดอกเบี้ยก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล แต่เป็น The Federal Reserve หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ นั้นเอง ซึ่งให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อที่ต้องการสกัดเงินเฟ้อ ก่อนหน้านี้เรายังคุ้นชินกับการที่เงินล้นเหลือในระบบ พิมพ์เงินผ่านการทำ QE เมื่อเงินในระบบ ก็กดให้อัตราดอกเบี้ยต่ำ

                สำหรับในไทยที่ผ่านมา ก็มีการปรับอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับสหรัฐ ล่าสุดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ที่ 2.5% ซึ่งยังคงต่ำกว่าดอกเบี้ยสหรัฐอยู่กว่าเท่าตัว และด้วยเหตุผลนี้เอง เงินก็จะไหลไปที่ที่ให้ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนสูงกว่านั้นเอง ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างมาก

การแจกเงินจำนวนมากถึง 560,000 ล้านบาท รัฐบาลต้องหาแหล่งเงินทุน ซึ่งแน่นอนว่าต้องมาจากการกู้เงิน ซึ่งคาดว่าจะเป็นการกู้เงินผ่านธนาคารออมสิน โดยมีรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้นั้นเอง
ปกติแล้ว เวลารัฐบาลจะกู้เงิน ก็จะออกพันธบัตรรัฐบาลให้ตลาดได้ลงทุน จากนั้นรัฐบาลก็จะจ่ายดอกเบี้ยให้กับนักลงทุน และเมื่อครบกำหนดของระยะเวลาสัญญาก็จะคืนเงินต้นทั้งหมด

            ณ ขณะนี้ อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรไม่ได้ขึ้นอยู่กับนโยบายทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ว่ายังขึ้นอยู่กับความคาดหวังของนักลงทุนในอนาคตด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการคาดว่า รัฐบาลจะกู้เงิน 560,000 ล้านบาท จึงทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น (Yield เพิ่มขึ้น) โดยเราเห็นการปรับขึ้นได้ตั้งแต่ช่วงกันยายนที่ผ่านมา หลังจากมีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะดำเนินนโยบายเหล่านี้ต่อไป โดยต้นทุนในการแจกเงินครั้งนี้

            ไม่ใช่แค่เงินต้น 560,000 ล้านบาท แต่ต้องบวกค่าดอกเบี้ยไปด้วย โดยนำ 560,000 ล้านบาท * อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ 2.5% = 14,000 ล้านบาทต่อปี ที่เป็นต้นทุนของดอกเบี้ยในการกู้ยืมเงินครั้งนี้

ปัจจุบันหากเรากู้เงิน 560,000 ล้านบาท มูลค่านั้นจะมากขนาดไหน เปรียบเทียบด้วย Infrastructure เพื่อให้เห็นภาพง่าย ๆ เช่น งบประมาณการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ 120,000 ล้านบาท

เงินที่รัฐบาลกำลังจะแจกตอนนี้ หากเราไม่ใช้เงินนี้ในการแจกจ่ายให้กับประชาชน คนละ 10,000 บาท จะสามารถสร้าง Infrastructure ขนาดใหญ่ของประเทศ อย่างสนามบินสุวรรณภูมิได้ 4.5 ที่เลยทีเดียว

แต่รัฐบาลยังคงแน่วแน่กับการนำเงินก้อนนี้มาแจก เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยต้องการให้เกิดตัว Multiplier effect กับระบบเศรษฐกิจต่อไป แต่นักเศรษฐศาสตร์หลาย ๆ ท่านที่กำลังออกมาให้ความเห็น มองว่าสามารถทำได้ แต่ต้องเป็นในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจกำลังเกิดภาวะวิกฤต นั้นหมายความว่า

           “เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ก็อยู่ในระดับต่ำด้วยเช่นเดียวกัน” แต่ ณ วันนี้ อาจไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อรัฐบาลตัดสินใจแจกเงินก็จะส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อสูงขึ้น เมื่อเงินเฟ้อไทยสูงขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยิ่งต้องปรับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น เพื่อสกัดเงินเฟ้อนั้นไว้ และไม่ใช่แค่อัตราดอกเบี้ย แต่ยังมีต้นทุนทางธุรกิจของภาคเอกชนอีกด้วย บางธุรกิจ ณ เวลานี้อยู่ในภาวะที่ ไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ยและเกิดปัญหาสภาพคล่องแล้ว

แน่นอนว่าข้อดีของการใส่เงินเข้าระบบนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิด Multiplier effect ที่มากกว่า 1 แต่ไม่มีใครทราบได้ว่าจะมากกว่า 1 ได้จริงหรือไม่ หากทำได้จริง ก็อาจจะเกิดการกระตุ้นได้เพียงระยะสั้น
และอีกประเด็นสำคัญคือ การใช้ระบบ Blockchain มารองรับการแจกเงินมีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด เพราะต้องใช้เวลาและทรัพยากรในการพัฒนาระบบ ความเสถียรของระบบในการรองรับ transection ของประชาชนมากถึง 50 ล้านคนทั่วประเทศ ทั้ง ๆ ที่เรามีพร้อมเพย์ในแอปกระเป๋าตังค์อยู่แล้ว
         แล้วเรากำลังสร้างหนี้อีก 560,000 ล้านบาท ไปเพื่ออะไร ? ในขณะที่เรายังไม่ได้เกิดวิกฤตอะไรเลย ซึ่งตอนนี้เรากำลังใช้เงินก้อนนี้ อย่างไม่เป็นความจำเป็นหรือไม่ คงต้องช่างใจและดูกันต่อไปว่า นโยบายนี้จะช่วยคนไทยได้มากน้อยอย่างไร?

บทความโดยนักวิเคราะห์ นันทภพ นิยมฤทธิ์

Share the Post:

Related Posts

นโยบายความเป็นส่วนตัว

ลูกค้า ไม่เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ผู้ติดต่อสอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์หรือบริการ บุคคลธรรมดาที่มีความเกี่ยวข้องกับลูกค้าที่เป็นนิติบุคคลที่มีการทำธุรกรรมกับบริษัท เช่น ผู้ถือหุ้น กรรมการ ผู้มีอำนาจกระทำการแทน หุ้นส่วน ตัวแทน พนักงาน เจ้าหน้าที่ และ/หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ผู้ค้ำประกัน ผู้ให้หลักประกัน ผู้รับผลประโยชน์ บุคคลที่ได้เข้าชมเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันหรือบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ของบริษัท บุคคลธรรมดาทั่วไป เช่น ติดต่อกันโดยประการอื่น หรือให้ข้อมูลส่วนบุคคลกับบริษัท หรือที่บริษัทได้รับข้อมูลส่วนบุคคลมาทั้งทางตรงและทางอ้อมไม่ว่าผ่านช่องทางใด

บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ และหรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเท่าที่จำเป็นเพื่อวัตถุประสงค์สำหรับใช้ในการทำธุรกรรม การให้และ/หรือการรับบริการ การติดต่อ และการอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า เช่น

  1. ข้อมูลระบุตัวบุคคล ชื่อนามสกุล เพศ วัน-เดือน-ปีเกิด อายุ สถานภาพทางการสมรส สถานภาพครอบครัว สัญชาติ ประเทศที่พำนัก ลายมือชื่อ
  2. ข้อมูลบนเอกสารที่ออกโดยหน่วยงานราชการ เช่น สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาหนังสือเดินทาง สำเนาวีซ่า สำเนาใบต่างด้าว สำเนาใบอนุญาตทำงาน สำเนาบัตรประจำตัวข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ สำเนาทะเบียนบ้าน หรือเอกสารที่ใช้ในการระบุและยืนยันตัวตนที่มีลักษณะเดียวกัน) ข้อมูล KYC และ CDD อื่นๆ เป็นต้น
  3. ข้อมูลเพื่อการติดต่อ เช่น ที่อยู่ตามเอกสารสำคัญ ที่อยู่อาศัยปัจจุบัน และที่อยู่ในประเทศตามสัญชาติ สถานที่ทำงาน หมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ หมายเลขโทรสาร อีเมล ชื่อหรือบัญชีเข้าใช้งานสำหรับการติดต่อสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์หรือสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เช่น LINE ID
  4. ข้อมูลความเป็นเจ้าของกิจการหรือกาประกอบอาชีพ  เช่น ประเภทธุรกิจ  ประเภทอาชีพ  ตำแหน่ง อายุงาน เอกสารอื่นใดเพื่อยืนยันการประกอบธุรกิจหรือประกอบอาชีพ
  5. ข้อมูลทางการเงินและการทำธุรกรรม   เลขที่บัญชีเงินฝาก รายการเคลื่อนไหวในบัญชีเงินฝาก เลขบัตรเครดิต/เดบิต  ข้อมูลรายได้ แหล่งที่มาของรายได้และรายจ่าย  ข้อมูลสำหรับประเมินความเสี่ยง
  6. ข้อมูลทางเทคนิค อุปกรณ์หรือเครื่องมือ ข้อมูลการใช้งานแอปพลิเคชัน  หมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ รุ่นและประเภทของอุปกรณ์ เครือข่าย ข้อมูลการเชื่อมต่อ ประเภทและเวอร์ชั่นของปลั๊กอินเบราว์เซอร์ ระบบปฏิบัติการและแพลตฟอร์ม รวมถึงเทคโนโลยีอื่น ๆ บนอุปกรณ์ที่ท่านใช้ในการเข้าถึงแพลตฟอร์ม ข้อมูลทางเทคนิคอื่นๆ จากการใช้งานบนแพลตฟอร์มและระบบปฏิบัติการ และข้อมูลอื่นๆ              
  7. บันทึกการสื่อสารหรือการโต้ตอบระหว่างท่านกับบริษัทที่เกี่ยวข้องการทำธุรกรรมซื้อขาย  รายละเอียดเรื่องร้องเรียนหรือการออกความเห็น คำขอใช้สิทธิต่าง ๆ ผลประเมินการสำรวจความคิดเห็น บันทึกเสียง ภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหว คลิปบันทึกเสียง บันทึกการสื่อสารผ่าน Log/Chat – Bot  ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหวจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV)

บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเท่าที่จำเป็นภายใต้วัตถุประสงค์อันชอบด้วยกฎหมายของบริษัท ซึ่งรวมถึงการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อการปฏิบัติตามสัญญาซึ่งท่านเป็นคู่สัญญา เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อดำเนินการตามความยินยอมของท่านและ/หรือเพื่อดำเนินการภายใต้ฐานทางกฎหมายอื่น ๆ โดยวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามนโยบายฉบับนี้

บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่ผู้อื่นภายใต้ความยินยอมของท่านหรือภายใต้หลักเกณฑ์ที่กฎหมายอนุญาตให้เปิดเผยได้ โดยบุคคลหรือหน่วยงานที่เป็นผู้รับข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวจะเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามขอบเขตที่ท่านได้ให้ความยินยอมหรือขอบเขตที่เกี่ยวข้องในนโยบายฉบับนี้ หรือในบางกรณี ท่านอาจอยู่ภายใต้นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเหล่านั้นอีกด้วย โดยที่ผู้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอาจอยู่ในประเทศไทยหรือต่างประเทศ โดยบริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่บุคคลหรือหน่วยงานต่างๆ ตามแต่ความสัมพันธ์และการทำธุรกรรมของท่าน ดังต่อไปนี้

  1. บริษัทอื่นในกลุ่มธุรกิจของบริษัท พันธมิตรทางธุรกิจของบริษัท ตัวแทนของบริษัท  ผู้รับจ้างช่วงงานต่อหรือผู้ให้บริการภายนอกเพื่อประกอบธุรกิจแทนบริษัท  ทางการตลาด ส่งเสริมการขาย  การประชาสัมพันธ์  การเสนอหรือสนับสนุนการให้ผลิตภัณฑ์และ/หรือบริการของบริษัทแก่ท่าน รวมถึงผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ผู้ให้บริการด้านการจัดเก็บ เคลื่อนย้าย และจัดส่งสินค้า ผู้จัดการด้านแคมเปญและการจัดกิจกรรม ผู้ให้บริการด้านการจัดเก็บข้อมูลและบริการจัดเก็บข้อมูลบนเซอร์เวอร์ที่เชื่อมต่อออนไลน์
  2. บริษัทได้จำกัดการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของท่านไว้เฉพาะบุคลากร หรือพนักงานของบริษัทที่มีความจำเป็นต้องรับทราบข้อมูลของท่าน เพื่อการให้บริการทางธุรกรรมหรือบริการอำนวยความสะดวกอื่นใดแก่ท่าน เพื่อให้ท่านได้รับบริการดังกล่าว อย่างเหมาะสมและดีที่สุดจากบริษัท
  3. บริษัทอาจจำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านแก่หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล และหน่วยงานอื่นๆ ตามที่กฎหมายอนุญาต หรือกำหนดไว้ หากบริษัทเชื่อว่ามีความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายหรือระเบียบใดๆ หรือต้องคุ้มครองสิทธิของบริษัท สิทธิของบุคคลที่สาม หรือความปลอดภัยส่วนบุคคลของบุคคลใด ๆ หรือเพื่อตรวจจับ ป้องกัน หรือแก้ไขปัญหาการทุจริต ความมั่นคง หรือความปลอดภัย

บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในระหว่างที่ท่านเป็นลูกค้า หรือมีความสัมพันธ์อยู่กับบริษัท หรือตามระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องในนโยบายฉบับนี้ และเมื่อท่านสิ้นสุดความสัมพันธ์กับบริษัท บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ต่อไปภายหลังจากนั้นตามระยะเวลาที่จำเป็นตามอายุความ หรือระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดหรืออนุญาตไว้ เช่น จัดเก็บไว้ตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 5 – 10 ปีนับแต่ยุติความสัมพันธ์ตามแต่กรณี จัดเก็บไว้ตามกฎหมาย 10 ปี นับแต่ยุติความสัมพันธ์ เป็นต้น

ท่านสามารถใช้สิทธิเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎหมายและกระบวนการจัดการสิทธิของบริษัท ดังต่อไปนี้

  1. สิทธิขอเข้าถึงข้อมูลของท่านที่บริษัทเก็บรักษาไว้หรือขอรับสำเนาข้อมูลได้  
  2. สิทธิให้โอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่ท่านให้ไว้กับบริษัทไปยังผู้ควบคุมข้อมูลรายอื่นหรือตัวท่านเอง
  3. สิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลของท่าน ท่านมีสิทธิขอคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
  4. สิทธิขอให้ลบหรือทำลายข้อมูล ท่านมีสิทธิขอลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวท่านได้
  5. สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูล ท่านมีสิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลชั่วคราว
  6. สิทธิขอให้แก้ไขข้อมูล ท่านมีสิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด
  7. สิทธิขอถอนความยินยอม  หากท่านได้ให้ความยินยอมให้ธนาคารเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
  8. สิทธิร้องเรียน: ท่านมีสิทธิร้องเรียนต่อผู้มีอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากท่านเชื่อว่าการเก็บรวบรวม ใช้ และ/ หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นการกระทำในลักษณะที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การใช้สิทธิของท่านดังกล่าวข้างต้นอาจถูกจำกัดภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือไม่สามารถดำเนินการตามคำขอใช้สิทธิข้างต้นของท่านได้ เช่น ต้องปฏิบัติตามกฎหมายหรือคำสั่งศาล เพื่อประโยชน์สาธารณะ การใช้สิทธิอาจละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เป็นต้น

บริษัท ซินเนอร์จี้ คอมโมดิตี้ส์ เทรด จำกัด

99-101 ถนนเจริญกรุง แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

เปิดทำการ จันทร์ – ศุกร์ : เวลา 9.15 – 16.00 น.

Call Center: 02-017-0777

Gold Trading Hotline: 02-017-0770

Fax Center: 02-222-7100

E-Mail: [email protected]

บริษัทอาจทบทวนและเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้เป็นครั้งคราวเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของการให้บริการและการดำเนินงานของบริษัท ข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากท่าน รวมถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยนโยบาย เวอร์ชั่นล่าสุดจะประกาศบนเว็บไซต์ของบริษัทที่ https://www.methong.co/privacy-policy เพื่อให้ท่านทราบแนวทางที่บริษัทใช้ในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน

ME THONG ให้ความสำคัญต่อความเป็นส่วนตัว เราจะทำงานอย่างดีที่สุดเพื่อรักษาความลับ และควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของคุณให้ปลอดภัย โดยคุณสามารถเลือกความยินยอมแบ่งเป็นหัวข้อต่างๆ ได้ โดยคลิกที่ปุ่ม เลือกตั้งค่านโยบายเพิ่มเติม

ME THONG ให้ความสำคัญต่อความเป็นส่วนตัว เราจะทำงานอย่างดีที่สุดเพื่อรักษาความลับ และควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของคุณให้ปลอดภัย โดยคุณสามารถเลือกความยินยอมแบ่งเป็นหัวข้อต่างๆ ได้ โดยคลิกที่ปุ่ม เลือกตั้งค่านโยบายเพิ่มเติม