อย่างที่นักลงทุนทราบกันว่านโยบายการเงินของสหรัฐในช่วงที่ผ่านมาเป็นตัวกำหนดทิศทางของราคาทองคำ ค่าเงิน และ ตลาดหุ้น ทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว เนื่องจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของ Fed ในช่วงที่ผ่านมาทำให้ธุรกิจหลายอย่างต้องมีการฉะลอตัวลงเนื่องจากต้นทุนในการกู้ยืมมีอัตราที่สูงขึ้น ทำให้สภาพคล่องในระบบมีน้อยลง ซึ่งหลังจากผ่านวิกฤตอสังหาในสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่ในช่วงปี 2007 ประเทศสหรัฐได้มีนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายมาโดยตลอด ทั้งการลดลงของอัตราดอกเบี้ย และการทำ QE เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปยังระบบสำหรับป้องกันการล่มสลายของระบบการเงิน
แต่สิ่งที่น่าเป็นกังวล ณ ปัจจุบันก็คือการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ที่”เร็ว” และ “แรง” เกินไปสำหรับนโยบายเชิงรุกซึ่งถ้าดูสถิติย้อนหลังตั้งแต่ปี 1988-1989 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เงินเฟ้อทำจุดสูงสุดที่ 5.4% Fed ได้มีการปรับดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสู้กับเงินเฟ้อ ซึ่งได้มีการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วทั้งสิ้น 3.23% ภายในระยะเวลา 14 เดือน ทว่าในปัจจุบัน ในช่วงปีใน 2022-2023 ที่ผ่านมา Fed ได้ขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว 4.88% ภายในระยะเวลา 14 เดือนซึ่งเป็นระยะเวลาที่เท่ากัน ทว่าเงินเฟ้อในปัจจุบัน ยังไม่สามารถลงไปสู่ระดับที่ Fed ตั้งเป้าไว้ได้ที่ 2% ในอีกด้านหนึ่งผลกระทบที่เกิดจากนโยบายเชิงรุกของ Fed ก็จะกลายมาเป็นน้ำหนักในการตัดสินใจของ Fed ทั้งการล้มละลายของ First republic bank, Signature Bank, Silicon valley bank ที่เกิดขึ้นในปี 2021-2023 ที่ผ่านมา ทำให้ Fed ต้องคิดว่าอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม สมควรอยู่ที่ระดับใด หากขึ้นต่อไปเพื่อสกัดเงินเฟ้อตามเป้าหมายที่วางไว้ ระบบเศรษฐกิจจะยังรับอยู่หรือไม่
Source: https://www.visualcapitalist.com/comparing-the-speed-of-u-s-interest-rate-hikes/
บทความโดย คุณภูริณัฐ นักวิเคราะห์ทองคำ