ทองคำแท่ง กับ ทองคำรูปพรรณ ลงทุนแบบไหนได้กำไรมากกว่ากัน ?

การลงทุนในทองคำ ไม่ว่าจะเป็น ทองคำแท่ง หรือ ทองคำรูปพรรณ มีคุณลักษณะและโอกาสในการกำไรที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การลงทุนของคุณ สำหรับมือใหม่เริ่มต้นลงทุนในทองคำ วันนี้ มีทอง มาเทียบให้เห็นความแตกต่างแบบชัดๆ เข้าใจง่าย เพื่อช่วยให้ นักลงทุน มือใหม่ ที่กำลังลังเลว่าอยากจะ ลงทุนทอง แต่ไม่รู้แบบไหนดีกว่ากัน สรุปมาให้แล้ว ตามไปดูกันเลย

ตารางเปรียบเทียบ ทองคำแท่ง กับ ทองคำรูปพรรณ ลงทุนแบบไหนกำไรดีกว่ากัน ?

ทองคำแท่ง

ความละเอียด:

  • ทองคำแท่งมักมีความละเอียดต่ำและมีน้ำหนักมากกว่า ทองคำรูปพรรณที่มีน้ำหนักเท่ากับความมูลค่าเดียวกัน


ความสะดวกในการซื้อขาย:

  • ทองคำแท่ง มีความสะดวกในการซื้อขายเนื่องจากมีความถี่ในการซื้อขายในตลาดทองคำ คุณสามารถซื้อและขายทองคำแท่งในขนาดที่เหมาะสมตามความต้องการของคุณ ซึ่งเวลาซื้อจะเสีย ค่าบล็อก หรือ ค่าพรีเมี่ยม นั่นเอง ซึ่งโดยปกติ ราคาค่าบล็อกจะอยู่ประมาณ 100-400 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของทองคำแท่งและความยากง่ายของลวดลายทองคำแท่งที่คุณเลือกซื้อ และเมื่อคุณต้องการขายคืนร้านทอง จะไม่ถูกหักค่าบล็อกเพิ่ม ซึ่งหมายความว่า เราจะได้ ราคาขายคืน ตามที่สมาคมค้าทองคำแห่งประเทศไทย ประกาศไว้ ณ วันที่เราต้องการขายได้เลย ไม่ต้องคิดให้ซับซ้อน แต่ทั้งนี้ บางร้านทองอาจจะให้ราคาไม่ตรงกับที่ทางสมาคมค้าทองคำประกาศ ด้วยปัจจัยด้านการบริหารและต้นทุนของร้านทองนั้นๆ อีกด้วย


รักษามูลค่าในระยะยาว:

  • ทองคำแท่ง นักลงทุนส่วนใหญ่นิยมลงทุนในระยะยาว และไม่ต้องห่วงเรื่องน้ำหนักทองคำที่จะลดลง เนื่องจาก ทองคำแท่ง จะไม่มีการนำมาสวมใส่ เหมือน ทองคำรูปพรรณ ซึ่งโอกาสที่น้ำหนักทองจะหายไปมีน้อยมาก ในเวลาขายคืนร้านทอง โอกาสที่จะได้ราคาขายคืนเต็มจำนวนมีสูงแทบจะ 100% เลย เมื่อเทียบกับ การขายคืน ทองคำรูปพรร และยังเก็บรักษาความปลอดภัยได้ง่ายอีกด้วย

ทองคำรูปพรรณ

ความละเอียด:

  • ทองคำรูปพรรณ มีความละเอียดสูงและมีความประณีตในการออกแบบทองคำที่ค่อนข้างยาก


ความสวยงามและการเสียค่ากำเหน็จ :

  • ทองคำรูปพรรณ เวลาซื้อทองกับร้านทอง ก็จะมีการบวกค่ากำเหน็จ ซึ่ง ค่ากำเหน็จขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น ลายทอง ประเภทของทอง น้ำหนักทอง รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ทางร้านทองต้องบริหารร้านทอง จึงมีค่ากำเหน็จนี้ขึ้นมา ซึ่งเราจะต้องเสียค่ากำเหน็จเวลาซื้อ อยู่ประมาณ 500 – 3,000 บาท *ขึ้นอยู่กับแต่ละร้านทองจะตั้งมา โดย สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาค่าเหน็จแนะนำไว้ที่ขั้นต่ำ 500 บาท ต่อหนึ่งบาททองคำ ซึ่งราคานี้ไม่เป็นการบังคับ การขายแพงหรือถูกกว่านี้ก็สามารถทำได้ เนื่องจากต้นทุนของแต่ละชิ้นงานราคาไม่เท่ากัน ต้นทุนการบริหารจัดการของแต่ละร้านก็ย่อมไม่เท่ากันเช่นกัน . ตัวอย่างเช่น ทองรูปพรรณ น้ำหนัก 1 บาท จะมีค่ากำเหน็จอยู่ที่ 500 บาท (หรืออาจสูงกว่านี้ ขึ้นกับลวดลายทอง) ทองรูปพรรณ น้ำหนัก 2 บาท จะมีค่ากำเหน็จอยู่ที่ 1,000 บาท . ทองรูปพรรณ น้ำหนัก 25 สต. จะมีค่ากำเหน็จอยู่ที่ 500 บาท ทองรูปพรรณ น้ำหนัก 50 สต. จะมีค่ากำเหน็จอยู่ที่ 500 บาท


รักษามูลค่าในระยะยาว:

  • ทองคำแท่ง นักลงทุนส่วนใหญ่นิยมลงทุนในระยะยาว และไม่ต้องห่วงเรื่องน้ำหนักทองคำที่จะลดลง เนื่องจาก ทองคำแท่ง จะไม่มีการนำมาสวมใส่ เหมือน ทองคำรูปพรรณ ซึ่งโอกาสที่น้ำหนักทองจะหายไปมีน้อยมาก ในเวลาขายคืนร้านทอง โอกาสที่จะได้ราคาขายคืนเต็มจำนวนมีสูงแทบจะ 100% เลย เมื่อเทียบกับ การขายคืน ทองคำรูปพรร และยังเก็บรักษาความปลอดภัยได้ง่ายอีกด้วย


การขายและซื้อทองรูปพรรณ :

  • ทองคำรูปพรรณ มักมีค่าใช้จ่ายสูงในการซื้อและขาย และไม่ได้เป็นทางเลือกในการลงทุนในตลาดทองคำโลก หรือ รวมถึงไม่นิยมในการเก็บรักษาตามมูลค่า เพราะมีโอกาสที่มูลค่าจะหายไปตามน้ำหนักทองมีสูงกว่า ทองคำแท่ง


สรุป
การลงทุนในทองคำแท่งมักเน้นที่ความมูลค่าของทองคำและความสะดวกในการซื้อขาย ในขณะที่การลงทุนในทองคำรูปพรรณ มักเน้นที่ความสวยงาม เน้นสวมใส่เป็นเครื่องประดับเป็นหลัก ซึ่งเสียค่ากำเหน็จเวลาซื้อที่ราคาสูงกว่าทองคำแท่ง

       ดังนั้นการลงทุนทองคำ ควรดูจากวัตถุประสงค์ หรือ เป้าหมายในการลงทุนของคุณ ที่เหมาะสมกับความต้องการของเรา และควรทำความเข้าใจก่อนการซื้อขายทองคำแท่ง และ ทองคำรูปพรรณ เพราะการตัดสินใจในการเลือกประเภทของทองคำ จะเป็นตัวบ่งบอกได้ว่า อนาคตในการซื้อหรือขาย แบบไหนจะได้กำไรดีกว่ากันในระยะยาว

มือใหม่ที่ หัดลงทุนทองคำ ค้นหาสาระความรู้ในการลงทุนทองคำ ได้ง่ายๆ กับ มีทอง ที่ https://www.methong.co/category/blog/investment/beginner/

บทความโดย methong.co

Share the Post:

Related Posts

นโยบายความเป็นส่วนตัว

ลูกค้า ไม่เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ผู้ติดต่อสอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์หรือบริการ บุคคลธรรมดาที่มีความเกี่ยวข้องกับลูกค้าที่เป็นนิติบุคคลที่มีการทำธุรกรรมกับบริษัท เช่น ผู้ถือหุ้น กรรมการ ผู้มีอำนาจกระทำการแทน หุ้นส่วน ตัวแทน พนักงาน เจ้าหน้าที่ และ/หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ผู้ค้ำประกัน ผู้ให้หลักประกัน ผู้รับผลประโยชน์ บุคคลที่ได้เข้าชมเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันหรือบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ของบริษัท บุคคลธรรมดาทั่วไป เช่น ติดต่อกันโดยประการอื่น หรือให้ข้อมูลส่วนบุคคลกับบริษัท หรือที่บริษัทได้รับข้อมูลส่วนบุคคลมาทั้งทางตรงและทางอ้อมไม่ว่าผ่านช่องทางใด

บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ และหรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเท่าที่จำเป็นเพื่อวัตถุประสงค์สำหรับใช้ในการทำธุรกรรม การให้และ/หรือการรับบริการ การติดต่อ และการอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า เช่น

  1. ข้อมูลระบุตัวบุคคล ชื่อนามสกุล เพศ วัน-เดือน-ปีเกิด อายุ สถานภาพทางการสมรส สถานภาพครอบครัว สัญชาติ ประเทศที่พำนัก ลายมือชื่อ
  2. ข้อมูลบนเอกสารที่ออกโดยหน่วยงานราชการ เช่น สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาหนังสือเดินทาง สำเนาวีซ่า สำเนาใบต่างด้าว สำเนาใบอนุญาตทำงาน สำเนาบัตรประจำตัวข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ สำเนาทะเบียนบ้าน หรือเอกสารที่ใช้ในการระบุและยืนยันตัวตนที่มีลักษณะเดียวกัน) ข้อมูล KYC และ CDD อื่นๆ เป็นต้น
  3. ข้อมูลเพื่อการติดต่อ เช่น ที่อยู่ตามเอกสารสำคัญ ที่อยู่อาศัยปัจจุบัน และที่อยู่ในประเทศตามสัญชาติ สถานที่ทำงาน หมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ หมายเลขโทรสาร อีเมล ชื่อหรือบัญชีเข้าใช้งานสำหรับการติดต่อสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์หรือสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เช่น LINE ID
  4. ข้อมูลความเป็นเจ้าของกิจการหรือกาประกอบอาชีพ  เช่น ประเภทธุรกิจ  ประเภทอาชีพ  ตำแหน่ง อายุงาน เอกสารอื่นใดเพื่อยืนยันการประกอบธุรกิจหรือประกอบอาชีพ
  5. ข้อมูลทางการเงินและการทำธุรกรรม   เลขที่บัญชีเงินฝาก รายการเคลื่อนไหวในบัญชีเงินฝาก เลขบัตรเครดิต/เดบิต  ข้อมูลรายได้ แหล่งที่มาของรายได้และรายจ่าย  ข้อมูลสำหรับประเมินความเสี่ยง
  6. ข้อมูลทางเทคนิค อุปกรณ์หรือเครื่องมือ ข้อมูลการใช้งานแอปพลิเคชัน  หมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ รุ่นและประเภทของอุปกรณ์ เครือข่าย ข้อมูลการเชื่อมต่อ ประเภทและเวอร์ชั่นของปลั๊กอินเบราว์เซอร์ ระบบปฏิบัติการและแพลตฟอร์ม รวมถึงเทคโนโลยีอื่น ๆ บนอุปกรณ์ที่ท่านใช้ในการเข้าถึงแพลตฟอร์ม ข้อมูลทางเทคนิคอื่นๆ จากการใช้งานบนแพลตฟอร์มและระบบปฏิบัติการ และข้อมูลอื่นๆ              
  7. บันทึกการสื่อสารหรือการโต้ตอบระหว่างท่านกับบริษัทที่เกี่ยวข้องการทำธุรกรรมซื้อขาย  รายละเอียดเรื่องร้องเรียนหรือการออกความเห็น คำขอใช้สิทธิต่าง ๆ ผลประเมินการสำรวจความคิดเห็น บันทึกเสียง ภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหว คลิปบันทึกเสียง บันทึกการสื่อสารผ่าน Log/Chat – Bot  ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหวจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV)

บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเท่าที่จำเป็นภายใต้วัตถุประสงค์อันชอบด้วยกฎหมายของบริษัท ซึ่งรวมถึงการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อการปฏิบัติตามสัญญาซึ่งท่านเป็นคู่สัญญา เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อดำเนินการตามความยินยอมของท่านและ/หรือเพื่อดำเนินการภายใต้ฐานทางกฎหมายอื่น ๆ โดยวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามนโยบายฉบับนี้

บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่ผู้อื่นภายใต้ความยินยอมของท่านหรือภายใต้หลักเกณฑ์ที่กฎหมายอนุญาตให้เปิดเผยได้ โดยบุคคลหรือหน่วยงานที่เป็นผู้รับข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวจะเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามขอบเขตที่ท่านได้ให้ความยินยอมหรือขอบเขตที่เกี่ยวข้องในนโยบายฉบับนี้ หรือในบางกรณี ท่านอาจอยู่ภายใต้นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเหล่านั้นอีกด้วย โดยที่ผู้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอาจอยู่ในประเทศไทยหรือต่างประเทศ โดยบริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่บุคคลหรือหน่วยงานต่างๆ ตามแต่ความสัมพันธ์และการทำธุรกรรมของท่าน ดังต่อไปนี้

  1. บริษัทอื่นในกลุ่มธุรกิจของบริษัท พันธมิตรทางธุรกิจของบริษัท ตัวแทนของบริษัท  ผู้รับจ้างช่วงงานต่อหรือผู้ให้บริการภายนอกเพื่อประกอบธุรกิจแทนบริษัท  ทางการตลาด ส่งเสริมการขาย  การประชาสัมพันธ์  การเสนอหรือสนับสนุนการให้ผลิตภัณฑ์และ/หรือบริการของบริษัทแก่ท่าน รวมถึงผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ผู้ให้บริการด้านการจัดเก็บ เคลื่อนย้าย และจัดส่งสินค้า ผู้จัดการด้านแคมเปญและการจัดกิจกรรม ผู้ให้บริการด้านการจัดเก็บข้อมูลและบริการจัดเก็บข้อมูลบนเซอร์เวอร์ที่เชื่อมต่อออนไลน์
  2. บริษัทได้จำกัดการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของท่านไว้เฉพาะบุคลากร หรือพนักงานของบริษัทที่มีความจำเป็นต้องรับทราบข้อมูลของท่าน เพื่อการให้บริการทางธุรกรรมหรือบริการอำนวยความสะดวกอื่นใดแก่ท่าน เพื่อให้ท่านได้รับบริการดังกล่าว อย่างเหมาะสมและดีที่สุดจากบริษัท
  3. บริษัทอาจจำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านแก่หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล และหน่วยงานอื่นๆ ตามที่กฎหมายอนุญาต หรือกำหนดไว้ หากบริษัทเชื่อว่ามีความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายหรือระเบียบใดๆ หรือต้องคุ้มครองสิทธิของบริษัท สิทธิของบุคคลที่สาม หรือความปลอดภัยส่วนบุคคลของบุคคลใด ๆ หรือเพื่อตรวจจับ ป้องกัน หรือแก้ไขปัญหาการทุจริต ความมั่นคง หรือความปลอดภัย

บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในระหว่างที่ท่านเป็นลูกค้า หรือมีความสัมพันธ์อยู่กับบริษัท หรือตามระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องในนโยบายฉบับนี้ และเมื่อท่านสิ้นสุดความสัมพันธ์กับบริษัท บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ต่อไปภายหลังจากนั้นตามระยะเวลาที่จำเป็นตามอายุความ หรือระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดหรืออนุญาตไว้ เช่น จัดเก็บไว้ตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 5 – 10 ปีนับแต่ยุติความสัมพันธ์ตามแต่กรณี จัดเก็บไว้ตามกฎหมาย 10 ปี นับแต่ยุติความสัมพันธ์ เป็นต้น

ท่านสามารถใช้สิทธิเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎหมายและกระบวนการจัดการสิทธิของบริษัท ดังต่อไปนี้

  1. สิทธิขอเข้าถึงข้อมูลของท่านที่บริษัทเก็บรักษาไว้หรือขอรับสำเนาข้อมูลได้  
  2. สิทธิให้โอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่ท่านให้ไว้กับบริษัทไปยังผู้ควบคุมข้อมูลรายอื่นหรือตัวท่านเอง
  3. สิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลของท่าน ท่านมีสิทธิขอคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
  4. สิทธิขอให้ลบหรือทำลายข้อมูล ท่านมีสิทธิขอลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวท่านได้
  5. สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูล ท่านมีสิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลชั่วคราว
  6. สิทธิขอให้แก้ไขข้อมูล ท่านมีสิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด
  7. สิทธิขอถอนความยินยอม  หากท่านได้ให้ความยินยอมให้ธนาคารเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
  8. สิทธิร้องเรียน: ท่านมีสิทธิร้องเรียนต่อผู้มีอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากท่านเชื่อว่าการเก็บรวบรวม ใช้ และ/ หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นการกระทำในลักษณะที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การใช้สิทธิของท่านดังกล่าวข้างต้นอาจถูกจำกัดภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือไม่สามารถดำเนินการตามคำขอใช้สิทธิข้างต้นของท่านได้ เช่น ต้องปฏิบัติตามกฎหมายหรือคำสั่งศาล เพื่อประโยชน์สาธารณะ การใช้สิทธิอาจละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เป็นต้น

บริษัท ซินเนอร์จี้ คอมโมดิตี้ส์ เทรด จำกัด

99-101 ถนนเจริญกรุง แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

เปิดทำการ จันทร์ – ศุกร์ : เวลา 9.15 – 16.00 น.

Call Center: 02-017-0777

Gold Trading Hotline: 02-017-0770

Fax Center: 02-222-7100

E-Mail: [email protected]

บริษัทอาจทบทวนและเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้เป็นครั้งคราวเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของการให้บริการและการดำเนินงานของบริษัท ข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากท่าน รวมถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยนโยบาย เวอร์ชั่นล่าสุดจะประกาศบนเว็บไซต์ของบริษัทที่ https://www.methong.co/privacy-policy เพื่อให้ท่านทราบแนวทางที่บริษัทใช้ในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน

ME THONG ให้ความสำคัญต่อความเป็นส่วนตัว เราจะทำงานอย่างดีที่สุดเพื่อรักษาความลับ และควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของคุณให้ปลอดภัย โดยคุณสามารถเลือกความยินยอมแบ่งเป็นหัวข้อต่างๆ ได้ โดยคลิกที่ปุ่ม เลือกตั้งค่านโยบายเพิ่มเติม

ME THONG ให้ความสำคัญต่อความเป็นส่วนตัว เราจะทำงานอย่างดีที่สุดเพื่อรักษาความลับ และควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของคุณให้ปลอดภัย โดยคุณสามารถเลือกความยินยอมแบ่งเป็นหัวข้อต่างๆ ได้ โดยคลิกที่ปุ่ม เลือกตั้งค่านโยบายเพิ่มเติม