1. Market order
คำสั่ง Market order จะเป็นคำสั่งที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาไม่ซับซ้อน คือการซื้อหรือขายที่ราคาตลาด เช่นหากราคารับซื้อวันนี้อยู่ที่ 30900 บาท/bg ขายออกอยู่ที่ 31000 บาท/bg หากนักลงทุนส่งคำสั่งซื้อเข้ามา นักลงทุนก็จะได้ทองคำที่ต้นทุน 31000 บาท/bg หากส่งคำสั่งขายมาก็จะขายออกได้ที่ 30900 บาท/bg พูดอีกนัยนึงก็คือซื้อขาย ณ ราคาปัจจุบัน
2. Stop order
เป็นการส่งคำสั่งซื้อขายแบบมีเงื่อนไข ซึ่ง Stop order คือการส่งคำสั่งซื้อหรือขายเมื่อราคาไปถึงจุดที่เรากำหนด โดยถ้าเป็น Stop order ในฝั่งซื้อเราจะเรียกว่า ฺBuy stop order ซึ่งเราจะต้องตั้งคำสั่งซื้อไว้เหนือราคาปัจจุบัน ตัวอย่างเช่นหากราคาทองปัจจุบันอยู่ที่ 30000 บาท/Bg* เราอาจจะมีการตั้งคำสั่ง buy stop order ไว้ที่ 31000 บาท/bg* เมื่อราคาทองมีการปรับตัวขึ้นไปถึง 31000 บาท/bg ออเดอร์ของเราจะถูกส่งเข้าไปเพื่อซื้อทองในราคา 31000 บาท/bg ทันที ซึ่งต่างจากการซื้อแบบ Real time ที่เราจะซื้อทองในราคาปัจจุบันทันที
หากเป็นด้านฝั่งขายเราจะเรียกว่า Sell stop order ซึ่งหลักการจะคล้ายๆกับฝั่งซื้อ แต่จะเป็นแบบทิศทางตรงข้าม ซึ่งนักลงทุนจะสามารถส่งคำสั่งขายได้ที่ราคาต่ำกว่าราคาปัจจุบัน เช่นหากราคาทองปัจจุบันอยู่ที่ 30000 บาท/bg เราอาจจะมีการตั้งคำสั่ง Sell stop order ไว้ที่ 29000 บาท/bg เมื่อราคาทองมีการปรับตัวไปถึง 29000 บาท/bg ออเดอร์ของเราจะถูกส่งเข้าไปเพื่อขายทองในราคา 29000 บาท/bg ทันที
3.Limit order
ถ้าเปรียบเทียบให้เข้าใจได้ง่ายๆก็คือ ยินดีที่จะซื้อหรือขายที่ราคาเท่าไหร่ ดังนั้น Limt order ในฝั่งซื้อก็คือเหมือนเราอยากซื้อถูกกว่าราคาปัจจุบันนั่นแหละครับ (ใครๆก็อยากได้ของถูก) เพราะฉะนั้นการตั้ง Limit order ในฝั่งซื้อก็จะต่ำกว่าราคาตลาดซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเมื่อราคาปรับตัวลงมาถึงราคาที่เราตั้งไว้เราก็จะได้รับทองในราคาที่เราตั้งไว้ล่วงหน้าพอดี
ส่วนในฝั่งขายก็เช่นเดียวกันครับ คืออยากขายได้แพงกว่าตลาด ณ ราคาปัจจุบัน (ตอนขายก็อยากขายให้ได้แพงที่สุด) ดังนั้น Limit order ในฝั่งขายส่วนใหญ่ก็จะขายในราคาที่สูงกว่าตลาด ซึ่งเมื่อราคาปรับตัวขึ้นมาถึงราคาที่เราตั้งไว้เราก็จะได้ขายทองออกในราคาที่เราตั้งไว้ล่วงหน้าพอดี
บทความโดยนักวิเคราะห์ คุณภูริณัฐ นาคยุติ